วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

วันแห่งความสนุก

คุณเคยไหมที่ได้ไปเทียวกับเพื่อนๆ ?


            คำตอบของหลายๆคนก็ต้องตอบว่า "เคยสิ ถ้าใครไม่เคยก็ไม่รู้จะ
ว่ายังไงแล้ว"แต่คุณเคยไหมที่ไปเที่ยวแล้วมีความสุขมาก มากจนกลาย
เป็นความทรงจำดีๆที่อยู่ติดกับเรา

           การเดินทางเที่ยวครั้งนี้ เราไปกันไม่ไกล "ตลาดน้ำสี่ภาค" เป็น
สถานที่ท่องเที่ยวใครหลายๆคนรู้จักที่นี่แบ่งออกเป็นภาคๆ มีทั้งหมด
สี่ภาค เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวไปเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เป็นชาวจีน
         กิจกรรมที่เราไปกันวันนี้คือการถ่ายทำแนะะนำสถานที่ท่องเที่ยว
เราถือโอกาสได้เที่ยวไปในตัวที่เที่ยวที่อยากแนะนำคือ การโดดหอ
เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก แม้ตนเองจะใส่กระโปรงอยู่ก็ตามก็พยายาม
เต็มที่เพื่อให้ได้เล่น ขอบอกว่าสนุกมาก
          บ้านผีสิง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่อยากแนะนำ สั้นๆแต่ได้ใจความ
 ใช้เวลาไม่นานในการเล่นถ้าเดินกันไปหลายๆคนอาจไม่น่ากลัว
แต่ถ้าไปกัน 1-2 คนรับรองน่ากลัวมากๆ นึกแล้วก็ไม่อยากไปเล่นอีก
แล้ว(เป็นคนกลัวผีขึ้นสมองมากๆ)
          บริเวณตามที่ต่างๆของตลาดน้ำนี่ ก็มีมุมน่าสนใจสำหรับคนชอบ
ถ่ายรูป มีที่สวยๆเยอะมากเราก็ได้มาหามุมเหมือนกัน สวยๆทั้งนั้น ขนาด
บ้านผีสิงก็ยังมีเพื่อนถ่ายรูปกับผีมา ดูไม่ออกเลยอันไหนเพื่อนอันไหนผี 5555+
         

ครั้งนี้ขอจบลงเท่านี้ก่อนนะ
วันที่ไปตลาดน้ำสี่ภาค 5/9/2554

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิชาเหมือนสินค้า


  วิชาเหมือนสินค้า               
      อันมีค่าอยู่เมืองไกล
 ต้องยากลำบากไป                    
     จึงจะได้สินค้ามา
 จงตั้งเอากายเจ้า                        
     เป็นสำเภาอันโสภา
 ความเพียรเป็นโยธา                    
     แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบ
นิ้วเป็นสายระยาง                       
    สองเท้าต่างสมอใหญ่
ปากเป็นนายงานไป                   
    อัชฌาสัยเป็นเสบียง
สติเป็นหางเสือ                          
    ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง
ถือไว้อย่าให้เอียง                       
     ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา
ปัญญาเป็นกล้องแก้ว                 
     ตรวจดูแถวแนวหินผา
เจ้าจงเอาหูตา                            
     เป็นล้าต้าฟังดูลม
ขี้เกียจคือปลาร้าย                      
     จะทำลายให้เรือจม
เอาใจเป็นปืนคม                      
   ยิงระดมให้จมไป
จึงจะได้สินค้ามา                        
     คือวิชาอันพิศมัย
จงหมั่นมั่นหมายใจ                   
    อย่าได้คร้านการวิชา


ต้องยึดมั่นในการเรียนถึงที่สุด แล้วจะได้ผลที่ดีกลับมา

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อนามิกาที่สุดของหัวใจ

        ฉันได้อ่านนวนิยายเรื่องหนึ่ง เรื่อง " อนามิกาที่สุดของหัวใจ"
การดำเนินเรื่องของนิยายเรื่องนี้แปลกกว่าเรื่องที่เคยอ่านมา
ทำให้สามารถอ่านจนจบเรื่องได้โดยเร็วในเรื่องนี้มีความตื่นเต้นมากมาย
ทั้งสุข ทุกข์ สมหวังนั้นไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะสิ้นหวังซะมากกว่า
ได้รู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่ใจมีอต่ความสุขจะทั่วไป
ความทุกข์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับ
       อนามิกาเป็นชื่อนางเอกของเรื่องนี้ มีการดำเนินเรื่องราวที่อนามิกา
การอยู่รอดของแต่ละประเทศ การมีความผูกพันกันของแต่ละประเทศ
การแก้ไขปัญญาเหตุการณ์ที่เกิด คัวพระของเรื่องนั้นจะต้องเจอเรื่องราวมากมายที่ต้องผ่านไปให้ได้ เหมือนทดสอบความกล้าหาญ ความมั่นคงในรักที่มีต่อนางได้หรือไม่?
      ในเรื่องนี้มีเรื่องของความรักมากมายหลาบแบบ แต่มีแบบหนึ่งที่ด้อ่านตอนจบของคู่นี้แล้วถึงกับร้องไห้ออกมาเลย ผู้แต่งนั้นได้ปรรยายความรู้สึกของตัวละครทั่งคู่ได้ดีมาก
เป็นตอนที่ทั่งสองต้องตายจากกัน ฝ่ายชายพยายามพูดเพื่อให้ฝ่ายหญิงรู้ว่าตนจะพยายามไม่ตาย
แล้วก็ตาย น้ำตาของฉันที่ได้อ่านไหลออกมาตลอด ฝ่ายหญิงก็ตายตามกันไปเพราะถูกผุ้ร้ายยิงตาย
     การได้อ่านนิยายเรื่องนี้ทำให้รู้สึกถึงคำว่า  รัก  กับ  เสียสละ


: ฉันเป็นคนหนึ่งที่เป็นนักอ่านนวนิยายตัวยง แต่ขอแค่อ่านแล้วรู้จักคิด รู้จักทำ รู้เรื่องไหนที่ดี ที่ไม่ดี เท่านั้นล่ะ คือประสบการณ์การอ่านที่ดี ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับเราขึ้น เราจะได้ตัดสินใจได้ดีที่สุด

หวังว่าคุณจะเป็นหนึ่งในนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ข้าวหน้าเนื้อใจเสือ

ส่วนผสม
1.เนื้อวัวสไลด์(หรืออาจจะเป็นเนื้อหมูก็ได้) 1 ถ้วย
2.น้ำตาล 2 ช้อนชา
3.ซอสหอยนางรมแม็กกี้ 1 ช้อนโต๊ะ
4.ซอสปรุงอาหารแม็กกี้ 1/2 ช้อนโต๊ะ
5.งาคั่วบุบพอแตก 1 ช้อนโต๊ะ
6.ต้นหอมหั่นฝอย 1 ช้อนชา
7.น้ำสต็อก 5+5+5 1 ถ้วย
8.น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ
9.ข้าวหอมมะลิร้อนๆ 1 ถ้วย

วิธีทำ
หมักเนื้อวัวสไลด์ด้วยซอสปรุงอาหารแม็กกี้ และ ซอสหอยนางรมแม็กกี้ ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน พอกระทะร้อนใส่เนื้อสไลด์ ผัดพอสุก ใส่งาบุบ ใส่น้ำสต็อก 5+5+5 ปรุงรสด้วยซอยหอยนางรมแม็กกี้ และน้ำตาล ปล่อยให้เดือดอีกครั้ง ตักราดบนข้าวสวย โรยด้วยต้นหอม ยกเสิร์ฟได้

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การทำข้อสอบ

                  โดยทั่วไปแล้วข้อสอบจะอยู่ 2 แบบ
แบบแรกคืออัตนัย(ข้อเขียน)
             การทำข้อสอบที่เป็นข้อเขียนนั้น ส่วนใหญ่จะได้คะแนนเยอะ(ถ้าเรารู้ว่าต้องเขียนอะไรที่เป็นหลักการหน่อยนะ อย่าเขียนมั่วเด็ดขาดหรือถ้าไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร ประมาณว่าไม่มีอะไรในหัวล่ะก็ พยายามเขียนให้ใกล้เคียงที่สุด) ต้องเขียนให้เยอะนะ จะทำให้ได้คะแนนดี แต่ข้อดีของข้อเขียนคืออาจารย์ออกข้อสอบน้อย
ข้อเสียก็อยู่ที่อาจารย์อีกนั้นแหละ ที่ต้องมานั่งปวดตาตอนตรวจกับลายมือลูกศิษย์ลูกหาของท่านเอง

แบบที่สองคือปรนัย(ข้อกากบาท) ข้อกากบาทเป็นข้อสอบที่ผู้สอบทุกคนชอบมากเพราะเวลาทำข้อสอบง่าย ก็แต่กากบาทเลือกคำตอบหนึ่งคำตอบก็เสร็จ อ่านหนังสือมาหรือไม่อ่านมาก็ได้ทำอยู่แล้ว เป็นอะไรที่ง่ายๆ
แต่ก็ชอบแบบที่ต้องให้ข้อกาเยอะๆหน่อย เพื่อทำผิิดจะได้เสียคะแนนไม่มาก

ใครชอบแบบไหนก็ภาวนาให้ให้อาจารย์ขอแบบนั้น
แล้วโชคดีในการสอบทุกครั้งนะค่ะ

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความพยายาม

ทุกคนที่ ต้องมีความพยายามกันทุกคน
ไม่ว่าพยายามเพื่อความฝันของตนเอง หรือ จะทำเพื่อคนอื่น
ก็ต้องใช่ความพยายามกันทั้งนั้น

ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าใครมีไว้ครอบครองไว้ คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เก่ง
สามารถสู้กับทุกอย่างได้
 ...........ความพยามาอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น..............

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ดอกลีลาวดี







                              ดอกลีลาวดี
เมื่อก่อนนั้นมีชื่อที่ว่า "ลั่นถม" คนโบราณบอกว่า "เป็นชื่อที่ไม่มงคล ห้ามไม่ให้นำมาปลูกในบ้าน ถ้าจะมีก็น่าจะเป็นที่วัด(บรรยายมันให้ แบบ เศร้า ปน ศรัทธา)" แต่ว่า น่าจะเป็นเพราะว่าต้นของลั่นถมนั้นมีกิ่งก้างที่กว้าง กินพื้นที่มากในการปลูก แล้วยังน้ำยางของต้นลั่นถมอีก ยางมันเหม็นอาจทำให้ไม่ต้องการให้ปลูกไว้ แต่ปัจจุบันนั้นต้นถั่นถมได้เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วป็น "ลีลาวดี" แล้วยังเป็นที่ต้องการของตลาดมากด้วย ในการจัดสวน เป็นต้นไม้ที่สวย เวลาที่โตแล้ว เหมือนเห็ด (มั่ง)
     จากดอกไม้ที่คนไม่ต้องการให้ปลูกกลับมาเป็นดอกไม้ที่ใครๆก็ต้องการ อีกมีสีสันที่แตกต่างกันเท่าไรยิ่งดี อย่างไรก็ตามดอกลีลาวกีก็งามอยจู่วันย้นค่ำ

 


ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก http://www.the-than.com/FLower/F7.html

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ดอกกุหลาบ

ตอนนี้ใกล้วันแห่งความรักแล้วเลยเอาตำนานดอกกุหลาบมาฝากจ้า



          กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

               ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

              ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
 
              กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม
 

               บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
 
               กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ






















 เพื่อนๆ อยากได้ดอกกุหลาบช่อไหนกัน ?

  ที่มา http://th.88db.com/th/Knowledge/Knowledge_Detail.page?kid=7982





 



 

ดอกกุหลาบสีน้ำเงิน

Blue Rose




 











Blue Rose ราคาในบ้านเราดอกละพันกว่าบาท  มีใครอยากซื้อให้แก้วหรือกเปล่า

ที่มา http://www.junglegui.com/diary/%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%8C.html

ดอกแก้วเจ้าจอม



ดอกแก้วเจ้าจอม เป็นถึงดอกไม้  IMPORT มาจากต่างประเทศ  มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะเวสต์อินดีส นำมาปลูกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันปลูกอยู่ในเขตพระราชวังดุสิตเพียง 1 ต้น สภาพต้นไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร จึงสมควรจะได้มีการอนุรักษ์ไว้
เหตุที่ชื่อ  “แก้วเจ้าจอม” เพราะเป็นไม้ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 ในครั้งรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริสร้างสวนสุนันทาขึ้นเป็นที่ ระลึกถึงพระมเหสี คือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ โดยในสวนดัง กล่าวแวดล้อมไปด้วยไม้นานาพรรณ และมีต้นแก้วเจ้าจอมซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงนำมาปลูกไว้ในวังแห่งนี้ด้วย ลักษณะดอกจะเหมือนดอกแก้ว แต่ กลีบดอกเป็นสีม่วงเงิน เกสรสีเหลืองเหมือนใบแก้ว แต่กลมและป้อมกว่า  ม.ร.ว.พาส์นพูนศรี  กฤษณะจันทร์  เคยให้สัมภาษณ์ว่า ในสมัยนั้นยังไม่เคยมีใครเห็นดอกแก้วเจ้าจอม จนกระทั่งเมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้ง หลวงบุเรศ บำรุงการ และศาสตราจารย์เต็ม สมิตินันท์ ได้เข้ามาศึกษาพันธุ์ ไม้ในสวนสุนันทา ศาสตราจารย์เต็ม สมิตินันท์ จึงเป็นผู้ตั้งชื่อแก้วเจ้าจอม หรือน้ำอบฝรั่งต้นนี้ 
ต้นแก้วเจ้าจอม เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกอยู่ในวังสวนสุนันทาเป็น แห่งแรก เป็นไม้ที่มีความงามแปลกกว่าไม้ดอกอื่นๆ คุณหญิงกรองแก้ว ปุทุมานนท์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสมัยนั้น จึงเลือกให้ต้นแก้วเจ้าจอมเป็นไม้ ประจำสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา (ปัจจุบัน  คือ  มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา) 





ไม้มงคล = ดอกแก้วเจ้าจอม (Lignum Vitae) อีกชนิดหนึ่งที่น่านำเสนอ เป็นดอกไม้กลิ่นหอมสีม่วงอ่อน เป็นที่รู้กันในดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
PS สวยหรือเปล่าค่ะ ดอกแก้วเจ้าจอมสีม่วงค่ะ สวยมากๆ